สายเคเบิลเครือข่าย
ในระบบเครือข่ายมีสายเคเบิลหลายแบบที่ใช้ในการต่อเชื่อม
เช่น สายเคเบิลหุ้มฉนวน (Coaxial cable)นิยมใช้กับแลนมีสายที่ฟั่นเกลียว 2 สาย ห่อหุ้มด้วยฉนวนเรียกว่า ชีลด์ (shield) ถ้าเป็นแบบหนาจะใช้สำหรับส่งข้อมูลระยะทางไกล
หรือถ้าเป็นแบบบางจะใช้สำหรับส่งข้อมูลระยะใกล้
สัญญาณจากสายเคเบิลหนึ่งสามารถไปรบกวนเคเบิลเส้นอื่น ๆ
ได้ทำให้เกิดความเสียหายกับข้อมูล (Corrupting) การรบกวนดังกล่าวเรียกว่า crosstalk
|
|
|
|
แวนจะใช้สายโทรศัพท์ในการส่งข้อมูล
ต่อมาใช้เส้นใยนำแสง (Fiberoptic
cable) ซึ่งทำ
จากใยแก้ว (optical fiber) ขนส่งข้อมูลด้วยสัญญาณแสงแทนสัญญาณไฟฟ้า
|
|
โมเด็ม (Modem)
|
โมเด็ม (modem ย่อมาจาก Modulate/DEModulate) หมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้กับคอมพิวเตอร์เพื่อการติดต่อสื่อสารโดยผ่านทางสายโทรศัพท์
คอมพิวเตอร์จะส่งข้อมูลในรูปของสัญญาณดิจิตอล (digital signal)โมเด็มจะเปลี่ยน (modulate) ให้เป็นข้อมูลในรูปของสัญญาณอนาล็อก
(analog
signal) และส่งไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทางซึ่งต้องมีโมเด็มอีกตัวหนึ่งถอดรหัส
(demodulate หรือ decode)
กลับเป็นสัญญาณดิจิตอลอีกครั้งหนึ่ง
|
Duplex
transmission หมายถึงโมเด็มสามารถส่งสัญญาณได้ 2 แบบ คือ โมเด็มที่ส่งสัญญาณไป/กลับได้อย่างต่อเนื่องพร้อมกัน
(full-duplex
modem) ยังมี fax/modem ซึ่งจะส่งข้อมูลที่เป็นเอกสาร
หรือภาพผ่านเครื่องโทรสาร (facsimile หรือ fax
machine) แล้วพิมพ์ออกมาในกระดาษ
|
อินเตอร์เน็ต
|
อินเตอร์เน็ต (internet) หรือ เน็ต (net) เป็นระบบเครือข่ายนานาชาติ
เกิดจากเครือข่ายย่อย ๆ มีบริการมากมายสำหรับทุกคนที่ติดต่อกับอินเตอร์เน็ต
หรือ on
the net สามารถใช้อินเตอร์เน็ตส่งจดหมายคุยกับเพื่อน ๆ
คัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น
รวมทั้งค้นหาข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งข้อมูลทั่วโลกไซเบอร์เบซ (cyberspace) หมายถึง การจินตนาการไปในอวกาศ
คือเมื่อใช้อินเตอร์เน็ตไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตามสามารถเดินทางเสมือน (virtual
journey) ไปรอบโลกโดยการเชื่อมต่อกับสถานที่ต่าง
ๆ
|
|
อินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นจากระบบเครือข่ายทางการทหารของอเมริกา
ที่เรียกว่า DARPANET
(Defence Advanced Research Projects Agency NET work) ต่อมาเปลี่ยนเป็น ARPANET ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายที่ปรับปรุงใหม่เพื่อให้มีประโยชน์มากขึ้น
ต่อมาได้ก่อตั้ง NSFNET
(National Science Foundation NET work) ขึ้นเพื่อให้องค์กรการศึกษาและวิจัยใช้ ในปี ค.ศ. 1990 คนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้บริการได้และเป็นปีที่อินเตอร์เน็ตกำเนิดขึ้น
อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันยังไม่มี
|
กฎเกณฑ์ในการควบคุมแต่ NSF แนะนำให้มีข้อบังคับสำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเรียกว่านโยบายการใช้งานที่สามารถยอมรับได้
(acceptable
use policy)
|
การติดต่อ
|
คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต
เรียกว่า โฮสต์ (host) และระบบเครือข่าย แลน หรือแวน
ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเรียกว่า ไซต์ (site) เครือข่ายบางชนิดโดยเฉพาะเครือข่ายของภาครัฐบาล
และภาคการศึกษาเป็นการติดต่อแบบถาวร (dedicated connection) คือ เชื่อมต่อระหว่างไซต์กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา
|
ถ้าผู้ใช้ไม่ได้อยู่ในการเชื่อมต่อแบบถาวร
ก็สามารถโทรเข้าไปหา (hook
Up) หรือติดต่อกับระบบเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
(service
provider) โดยต้องเสียค่าบริการตามที่กำหนด
ผู้ใช้สามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตได้หลายทาง คือ
|
1.
Dial-in connection คือ
การเชื่อมต่อโดยตรงกับอินเตอร์เน็ต
วิธีนี้บริษัทจะมีสายตรงเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตโดยใช้โมเด็ม หรือไอเอสดีเอ็น
เราสามารถหมุนโทรศัพท์ต่อตรงกับอินเตอร์เน็ตได้เลย
|
2.Dial-up
(terminal) connection คือ การต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง
วิธีนี้บริษัทจะไม่มีสายตรงเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
แต่ติดต่อผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า gateway
|
3.Mail-only
connection คือ
การติดต่อทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น ข้อมูลจะส่งผ่านโปรโตคอล (protocol) เป็นวิธีแยกข้อมูลออกเป็นชิ้น ๆ เรียกว่ากลุ่มข้อมูล (data packet) หรือใส่ข้อมูลในรหัสอิเล็กทรอนิกส์ เรียกว่า
ซองจดหมาย (envelope) ข้อมูลจะเดินทางไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
|
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
|
อิเมล์ หรือ อี-เมล์ (email หรือ e-mail) ย่อมาจาก จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (electronic
mail) เป็นการส่งข่าวสารบนอิเตอร์เน็ต
คนส่วนใหญ่ใช้อีเมล์ในการส่งจดหมาย เพราะประหยัดและรวดเร็วกว่า จดหมายหอยทาก (snail mail) หรือการส่งหมายแบบธรรมดา
ผู้ใช้สามารถส่งข่าวสารในรูปแบบกราฟิก เสียง และวีดิโอ โดยใช้ระบบMIME (Multi-purposes
Internet Mail Extensions) คือระบบการขยายผลประโยชน์หลายแบบในการส่งจดหมายอินเตอร์เน็ต
|
ผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตจะมีที่อยู่ (email address) สำหรับการส่งและรับอีเมล์ ประกอบด้วย
ชื่อผู้ใช้ (user
name) ตามด้วยสัญลักษณ์ @ (หมายถึง ที่ “at” ตามด้วยที่อยู่ ซึ่งจะแสดงประเทศและสถานที่ (domain หรือsubdomain) เช่น edu
(หรือ ac) หมายถึงสถานศึกษา co หรือ com (พาณิชย์) หรือ org (องค์การ)
|
|
ส่วนหัวของอีเมล์ (email header) จะอยู่ส่วนบนของอีเมล์
เป็นส่วนที่เก็บเส้นทางการส่งข่าวสาร ถ้าอีเมล์ส่งกลับเพราะไม่ถึงผู้รับ (bounce) หรือตกหล่นไปจะถูกส่งกลับมายังผู้ส่ง
ให้ดูที่ส่วนหัวว่าความผิดพลาดเกิดจากอะไรในสารบนของแฟ้มข้อมูลออนไลน์ (online
directory) ซึ่งเป็นรายการที่อยู่ของผู้ใช้อีเมล์
ผู้ใช้สามารถใช้อีเมล์ส่งข้อความตอบโต้กันในกลุ่ม โดยสมาชิกทุกคน
จะต้องมีที่อยู่เก็บไว้เรียกว่า
รายชื่อไปรษณีย์ (mailing
list) ทำให้สามารถส่งข้อความไปถึงใครก็ได้ที่มีรายชื่ออยู่ในรายชื่อไปรษณีย์
|
การโยงใยกันทั่วโลก
|
การโยงใยกันทั่วโลก (World Wide
Web) เรียกว่า WWW หรือ เว็บ (Web) เป็นเครือข่ายที่อำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลจากทั่วโลกมีความสามารถสูงมากจนหลายคนให้ฉายาว่าเป็น
โปรแกรมตัวฉกาจ (killer
application)
|
ข่าวสารบนเว็บ (Web page) ไฮเปอร์เทกซ์ลิงค์ (hypertext-linked) ซึ่งจะแสดงแถนสว่างกี่คำถ้าเรากดมาส์มันจะแสดงรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อที่ต้องการจากฐานข้อมูลโดยมีโปรแกรมกวาดดู
(browser) หรือ Web browser เช่น Mosaic หรือ Cello
ในที่สุดข้อมูลสารสนเทศทั้งหมดที่เชื่อมอยู่บนอินเตอร์เน็ตก็จะโยงใยเข้าสู่เว็บ
|
1. ระบบเครือข่าย
2. อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบเครือข่าย
3. 1. เครื่องทวนสัญญาณ
(Repeater)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ขยายหรือเพิ่มระยะทางการสื่อสารของเครือข่ายในการส่งข้อมูลในระบบเครือข่าย
ตามมาตรฐานต่าง ๆ เช่น
ในมาตรฐานการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายใช้ 10BaseT ซึ่งมีข้อกำหนดของมาตรฐาน
4. การเชื่อมต่อระบบได้ในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร
ถ้าความยาวของระบบมากกว่า 100 เมตร
ต้องมีเครื่องทวนสัญญาณในการขยายสัญญาณ เพื่อให้เป็นระบบเครือข่ายเดียวกัน
5. 2. บริดจ์
(Bridge)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อระบบ LAN เข้าด้วยกัน
โดยออกแบบมาเพื่อใช้ติดต่อระหว่างเครือข่ายท้องถิ่น LANจำนวน 2 เครือข่าย
ที่มีโปรโตคอลเหมือนกันหรือต่างกัน เพื่อให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้
โดยประสิทธิภาพในทางรวมลดลงไม่มาก
เนื่องจากการติดต่อของเครื่องอยู่ในเซกเมนด์เดียวกัน
จะไม่มีการส่งผ่านต่างเซกเมนด์ (Segment)
6. 3. ฮับ
(Hub)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลได้หลายช่องทางในระบบเครือข่าย
โดยการขยายสัญญาณที่ส่งผ่านมา ทำให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ
ผ่านสายเคเบิลได้ใกล้ขึ้น และใช้กับระบบเครือข่ายแบบ Star ในปัจจุบัน Hub มีความเร็วในการสื่อสารแบบ 10 และ 100 Mbps ลักษณะการทำงานของ Hub
7. จะแบ่งความเร็วตามจำนวนช่องสัญญาณ
(Port) ที่ใช้งานตามมาตรฐานความเร็ว
เช่น ระบบเครือข่ายใช้มาตรฐานความเร็วเป็นแบบ 10 Mbps และมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อในระบบ 5 เครื่อง
แต่ละเครื่องสามารถสื่อสารกันภายในระบบโดยใช้ความเร็วเท่ากับ 10/5 คือ 2 Mbps
8. 4. สวิตช์
(Switch)
สวิตซ์ หรือ อีเธอร์เนตสวิตช์ (Ethernet Switch) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กระจายช่องทางการสื่อสารข้อมูลหลายช่องทางในระบบเครือข่าย
คล้ายกับ Hub ต่างกันตรงที่ลักษณะการทำงานและความสามารถในเรื่องของความเร็ว
การทำงานของ Switch ไม่ได้แบ่งความเร็วตามจำนวนช่องสัญญาณ
(port) ตามมาตรฐานความเร็วเหมือน Hub โดยแต่ละช่องสัญญาณ
(port) จะใช้ความเร็วเป็นอิสระต่อกันตามมาตรฐานความเร็ว
เช่น ระบบเครือข่ายใช้
9. มาตรฐานความเร็วเป็นแบบ 100 Mbps และมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อในระบบ 5 เครื่อง
แต่ละเครื่องก็จะสื่อสารกันภายในระบบโดยใช้ความเร็วเท่ากับ 100 Mbps
10. 5. เราท์เตอร์
(Router)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายต่างชนิดกัน
หรือใช้โปรโตคอลต่างกัน เข้าด้วยกัน คล้าย ๆ กับBridge แต่ลักษณะการทำงานของ Router นั้นจะซับซ้อนกว่า
เพราะนอกจากจะเชื่อมต่อแล้ว
ยังเก็บสภาวะของเครือข่ายแต่ละส่วน (Segment) ด้วย
และสามารถทำการกรอง (Filter) หรือเลือกเฉพาะชนิดของข้อมูลที่ระบุไว้ว่าให้ผ่านไปได้
ทำให้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่งของข้อมูล
และเพิ่มระดับความปลอดภัยของเครือข่าย
ซึ่งสภาวะของระบบเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันนี้ Router จะจัดเก็บในรูปของตารางที่เรียกว่า Routing
Table ซึ่งตาราง Routing Table นี้จะมีประโยชน์ในด้าน
11. ของความเร็วในการหาเส้นทางการสื่อสารข้อมูลระหว่างระบบเครือข่ายโดยเฉพาะกับระบบเครือข่ายที่ซับซ้อนมาก
ๆ เช่น ระบบ MAN,
WAN หรือ Internet เป็นต้น
12. เกตเวย์
(Gateway)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 2 เครือข่ายหรือมากกว่า
ที่มีลักษณะไม่เหมือนกันสามารถติดต่อกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน
เปรียบเสมือนเป็นประตูทางผ่านในการสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกัน
เช่น ระหว่างเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไปกับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์
หรือเมนเฟรม ซึ่งเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็น Gateway นั้นอาจจะใช้คอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งทำหน้าที่ก็ได้
13. 7. โมเด็ม
(Modem)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณจากดิจิตอล
(Digital) ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก
(Analog) และจากสัญญาณอนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตอล
โมเด็มเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ
ในการสื่อสารบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เพราะโมเด็มทำหน้าที่ในการแปลงสัญญาณ
คอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณที่อุปกรณ์สื่อสารอื่น
ๆ ในระบบเครือข่ายสามารถเข้าใจได้
หลังจากนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลต้องมีโมเด็มเพื่อแปลงสัญญาณจากอุปกรณ์สื่อสารให้เป็นสัญญาณ
ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้
ซึ่งความสามารถของโมเด็มสามารถวัดได้จากความเร็วในการรับส่งข้อมูลจำนวน 1 บิตต่อ 1 วินาที
(บิตต่อวินาที) หรือ bps
(bit per second) ปัจจุบัน Modem มีสองประเภท
คือ โมเด็มที่ติดตั้งไว้ในเครื่อง (Internal Modem) และโมเด็มที่ไม่ได้ติดตั้งไว้ในเครื่อง
(External
Modem)ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม
การใช้อุปกรณ์ร่วมกันของระบบเครือข่าย
การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน
(Sharing
of program and data) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม
และข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น
ที่ฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง File
Server ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกัน
ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเครื่อง ให้ซ้ำซ้อนกัน
นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล
ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง
ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย
โดยไม่ต้องเดินทางไปสำเนาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะใช้การเรียกใช้ข้อมูล
ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั่นเอง เครื่องลูก (Client) สามารถเข้ามาใช้
โปรแกรม ข้อมูล ร่วมกันได้จากเครื่องแม่ (Server) หรือระหว่างเครื่องลูกกับเครื่องลูกก็ได้
เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บโปรแกรม
ไม่จำเป็นว่าทุกเครื่องต้องมีโปรแกรมเดียวกันนี้ในเครื่องของตนเอง
องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หมายถึง
ส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้การสื่อสารผ่านระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายระดับโลก
เป็นเครือข่ายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับ คอมพิวเตอร์จำนวนมาก
จึงมีรูปแบบการเชื่อมโยงข้อมูลเฉพาะของตนเอง
องค์ประกอบของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มี 5 ส่วนดังนี้
1.ระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) หมายถึง
ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ กล้องดิจิทัล
และลำโพงเป็นต้น คอมพิวเตอร์จะต้องมีคุณสมบัติพร้อมสำหรับการเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่าย
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
คือ
1.1 คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) หรือ
โฮสต์ (Host) ได้แก่
คอมพิวเตอร์ศูนย์กลางทำหน้าที่ให้บริการข้อมูล
และประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
โดยทั่วไปต้องเป็นเครื่องคุณภาพสูง เพื่อรองรับการถ่ายโอนข้อมูล จำนวนมาก
1.2 คอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Client) ได้แก่
คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่รับ-ส่งข้อมูลมากจากเครื่องแม่ข่าย
อาจจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ เครื่องโน๊ตบุ๊ค เครื่องแลปท็อป ฯลฯ
ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตทั่วไป ก็จัดเป็นเครื่องลูกข่ายทั้งสิ้น
2. ตัวกลางและอุปกรณ์การสื่อสาร (Communication
Device) หมายถึงอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อระหว่าง
คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือส่วนกลางกับคอมพิวเตอร์ลูกข่าย เป็นช่องทางสำหรับการรับ-ส่งข้อมูล
ประกอบด้วย
2.1 โมเด็ม (Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนรูปแบบสัญญาณข้อมูลระหว่างอะนาล็อกและดิจิทัล
ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลของโมเด็มมีหน่วยเป็นบิตต่อนาที (bps) โมเด็มที่มีอัตราความเร็วบิตต่อนาทีสูง
เช่น 512
mbps จะรับ-ส่งข้อมูลได้ดีกว่าโมเด็มขนาด 128 mbps
2.2 สายโทรศัพท์ (Telephone) หมายถึง
ระบบโทรศัพท์ทั่วไปซึ่งสามารถนำเอาสายสัญญาณเสียบเข้ากับช่องสำหรับเสียบสายเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์
2.3 สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) เป็นสายสัญญาณอีกชนิดหนึ่งที่ทำจากเส้นใยพิเศษที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ดีกว่าสายโทรศัพท์ทั่วไป
2.4 คลื่นวิทยุและดาวเทียม (Microwave and
Satellite) เป็นระบบการสื่อสารโดยใช้คลื่นวิทยุและคลื่นไมโครเวฟรับ-ส่งสัญญาณแบบไร้สายจากดาวเทียม
1. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์
(E-mail หรือ Electronic
mail)
บริการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยการพิมพ์จดหมายในคอมพิวเตอร์
แล้วส่งผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up line) หรือสาย LAN (Local area
network) ในองค์กร ไปให้เพื่อนได้ง่าย โดยไม่ใช้แสตมป์
และส่วนใหญ่จะถึงผู้รับในเกือบทันที สามารถส่งภาพ หรือเสียง แม้แต่แฟ้ม Video เช่น Mpeg หรือ AVI เป็นต้น
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ที่ไปเยี่ยมบ้านในต่างจังหวัด สามารถส่งผลงานให้อาจารย์
หรือเพื่อน ที่อยู่ในอีกจังหวัดหนึ่งได้ พ่อแม่ที่อยู่เมืองไทย
อาจส่งจดหมายไปคุยกับลูกที่ Texas หรือ London ได้
พ่อค้าสามารถใช้ e-mail สอบถามราคา
หรือตกลงซื้อขายกับลูกค้า
POP3
(Post Office Protocol 3) คือมาตรฐานหนึ่งของ Mail server เพื่อให้บริการผู้ใช้สามารถอ่านe-mail จากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเช่น
ที่บ้าน ที่ทำงาน และเก็บ e-mail ไว้อ่านแม้ไม่ได้ online แต่การอ่านmail วิธีนี้ต้องกำหนด SMTP (Simple Mail
Transfer Protocol) เพื่อใช้สำหรับการส่ง e-mail ที่เขียนใหม่
หรือตอบจดหมาย โปรแกรมที่นิยมใช้อ่าน e-mail เช่น Outlook,
Eudora หรือ Netscape mail เป็นต้น
เว็บที่ให้บริการเช่น softhome.net,
siammail.com หรือ hotpop.com เป็นต้น
สำหรับวิธีการติดตั้งค่า หรือข้อกำหนด อ่านได้จาก http://www.siammail.com/email_m.htm หรือ http://www.softhome.net/help/pop.htmlปัญหาใหญ่ของบริการนี้คือ
อ่าน e-mail จากเครื่องที่ไม่ได้ใช้ประจำได้ลำบาก
เช่นเดินทางไปต่างจังหวัด แต่ต้องการเปิด e-mail ฉบับเดิมที่เคยเขียน
หรือต้องการข้อมูลจากสมุดที่อยู่ (Address book) เป็นต้น
Web-based
e-mail คือบริการให้ผู้ใช้สามารถอ่าน e-mail จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อาจมีผู้ใช้หลายคน
เช่นในห้องปฏิบัติการ หรือร้าน internet ได้สะดวก
โดยใช้ Browser เช่น IE, Netscape,
Neoplanet หรือOpera เป็นต้น
เมื่ออ่านแล้วจะไม่มีข้อมูลเหลืออยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นอีก
เพราะทุกอย่างถูกเก็บที่ Mail
server เว็บที่ให้บริการเช่น hotmail.com,
yahoo.com, lampang.net, chaiyo.com, thaimail.com หรือthaiall.com เป็นต้น
ปัญหาใหญ่ของบริการนี้คือ จำกัดขนาดของ e-mail จึงต้องอ่าน
และลบ e-mail เสมอ
หรือ มีป้ายโฆษณา(Advertising
banner) ขึ้นมากวนใจ แต่มีตัวเลือกให้จ่ายเงิน
เพื่อไม่ให้แสดงป้ายโฆษณา และเพิ่มบริการที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้มากขึ้น
2. เว็บไซต์(Web site) และบริการสืบค้น(Search engine)
นายเบอร์เนอร์ ลี(Berners-Lee) แห่ง CERN ได้พัฒนา HTTP (HyperText
Transfer Protocol)ตั้งแต่ปีพ.ศ.2533(ค.ศ.1990) ทำให้เกิดบริการ WWW(World Wide
Web) ที่สามารถเปิดดูข้อมูลได้ทั้งภาพ และเสียง
จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดเว็บไซต์อย่างทุกวันนี้
โดยใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อ TCP/IP ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องสื่อสารกันได้ทุกระบบ
เมื่อต้องการข้อมูล การเข้าไปยัง web site เพื่อหาข้อมูล
จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสะดวก และเร็วกว่าการไปที่ห้องสมุด
ปัจจุบันมีเว็บให้บริการสืบค้น เหมือนตู้บัตรรายการ ที่ผู้เขียนแนะนำ 4 เว็บ
คือ google.com,
alltheweb.com, yahoo.com และ siamguru.com ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้ทราบว่ามีเว็บใด
มีข้อมูลตาม คำสืบค้น(Keyword) ที่ระบุ
โดยหาได้ทั้งข้อมูลเว็บไซต์ ภาพ และแฟ้มข้อมูล
ตัวอย่างการสืบค้นข้อมูลเช่น ต้องการหาว่า
วิทยาลัยโยนก มีเว็บไซต์ชื่ออะไร หรือเว็บใดมีข้อมูลบ้าง สามารถเข้าไปที่ http://www.alltheweb.com แล้วพิมพ์คำว่า
วิทยาลัยโยนก ในช่องว่าง แล้วกดปุ่ม Search จะพบชื่อเว็บ
และคำอธิบายข้อมูลของวิทยาลัยโยนก เว็บแรกที่พบก็คือ http://www.yonok.ac.th เป็นต้น
ข้อมูลจากเว็บไซต์มีทั้งภาพ และเสียง
ซึ่งรวมไปถึงแฟ้มทั้งหมดที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ เช่นแฟ้มที่มีนามสกุลzip, doc, pdf, xls,
mdb หรือ mp3 เป็นต้น
จึงไม่จำกัดว่า เปิดเว็บเพื่อดูข้อมูล ภาพ หรือเสียง เพราะบางองค์กร
ได้ส่งแฟ้มข้อมูลที่เป็น Microsoft
access (.mdb) ให้กับผู้สนใจได้ download หรือหน่วยงานของรัฐบางแห่ง
ส่งแฟ้ม Microsoft
excel (.xls) ซึ่งเก็บข้อมูลสถิติให้ประชาชนได้นำไปใช้ประโยชน์
เว็บไซต์(Web site) หมายถึงแหล่งรวมเว็บเพจทั้งหมด
เช่นเว็บไซต์ของวิทยาลัยโยนก ก็คือการรวมทุกเว็บเพจ ที่อยู่ภายใต้ชื่อ http://www.yonok.ac.th คำว่าโฮมเพจ(Home page) หมายถึงเว็บเพจหน้าแรก
โดยปกติจะหมายถึงแฟ้ม index.html ส่วนคำว่าเว็บเพจ(Webpage) คือหน้าเอกสารข้อมูลแต่ละหน้า
ที่อยู่ในเว็บไซต์ เช่น กระดานข่าว ข้อมูลหลักสูตร หรือข้อมูลบุคลากร เป็นต้น
3. ไออาซี
(IRC
- Internet relay chat)
บริการที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถคุยกันผ่านแป้นพิมพ์
พร้อมกันหลายคน หรือจะกระซิบคุยกัน 2 คนก็ได้
โดยเลือกห้องที่ตนสนใจ และในห้องนั้นจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ในการดูแล
หากผู้ใดประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับกลุ่ม ก็จะถูกขับออกไป
การที่อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่วัยรุ่น
ก็เพราะพวกเขาสามารถคุยเปิดใจกับใครก็ได้ โดยไม่ต้องบอกชื่อจริง
หรือจะโกหกก็ไม่มีใครทราบ ในผู้ใช้บางกลุ่มจะสร้างสังคม และติดต่อสื่อสาร
เพื่อช่วยเหลือสมาชิก มีการนัดพบปะสังสรรค์ แต่มีด้านดีก็ย่อมมีด้านเสีย
เพราะบางคนอาจสนใจจะใช้ IRC หาเพื่อนเพียงอย่างเดียว
โดดเรียน ไม่อ่านหนังสือ นั่งคุยกันได้จนดึก บางครั้งอาจถูกผู้ไม่หวังดีหลอกลวง
โดยไม่พิจารณาข้อมูลที่ได้รับ จนก่อให้เกิดความเสียหาย
โปรแกรมที่ได้รับความนิยมคือ PIRCH และ MIRC เป็นต้น
เว็บที่หาข้อมูลเรื่องนี้ได้คือpirchat.com, pirch.com, mirc.com,
thaiirc.in.th, irc.narak.com, irchelp.org และ irc.org เป็นต้น
4. ไอซีคิว
(ICQ)
คำว่า ICQ ออกเสียงเหมือน
"I
seek you" ถ้าท่านให้ฝรั่งพูดคำว่า
"I
seek you" อย่างเร็ว คนไทยฟังแล้ว
จะได้ยินเสียงเหมือนพูดคำว่า ICQ และนี่ก็คือที่มาของชื่อโปรแกรม
ที่นิยมใช้กันทั่วโลก
บริการนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ง่าย
สามารถที่จะคุยกับเพื่อนได้สะดวก เพราะโปรแกรมจะแสดงรายชื่อของเพื่อน
เมื่อมีการเปิดเครื่องขึ้น จะแสดงสถานะให้ทราบว่าเพื่อนคนใดพร้อมรับข้อความ
และสามารถคุยได้คล้ายโปรแกรม IRC แต่ ICQ จะมีความเฉพาะเจาะจงกว่า
เพราะทุกคนจะมีเลขประจำตัว 1 เลขเสมอ สำหรับผู้เขียนได้เลข 20449588 ซึ่งทั้งโลกนี้มีผู้เขียนคนเดียวที่ได้เลขนี้
ความสามารถของ ICQ นอกจากการคุยกับเพื่อนผ่านแป้นพิมพ์
การส่งข้อความในกรณีที่ผู้รับไม่อยู่ ข้อความก็จะถูกฝากไว้ที่ server เหมือน e-mail เมื่อผู้รับกลับมาเปิด ICQ จะได้รับข้อความ
และบริการ ICQPhone ทำให้ใช้ไมโครโฟน(Microphone) และลำโพง(Speaker) ที่ต่อกับคอมพิวเตอร์
คุยกับเพื่อน จากคอมพิวเตอร์ ถึงคอมพิวเตอร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
เพียงแต่เครื่องทั้ง 2 จะต้องมีไมโครโฟน
ลำโพง และความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องการโทรเข้าโทรศัพท์บ้านก็ทำได้
แต่เป็นบริการเสริมที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นนาที นอกจากนี้ยังสามารถอ่าน e-mail จาก POP server ได้หลาย server เมื่อมี e-mail เข้ามาใหม่
โปรแกรมจะส่งเสียงเตือนให้ทราบทันที
สามารถส่งข้อความเข้ามือถือของเพื่อนด้วยบริการ SMS หรือ
ส่งแฟ้ม เพลง ภาพให้เพื่อนก็ทำได้
บริษัท Mirabilis ก่อตั้งในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ.2539(ค.ศ.1996) เพื่อให้บริการ ICQ สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิก
มีสมาชิกในปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 160 ล้านคน ต่อมาบริษัทถูกซื้อโดย AOL(American
online)ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2541(ค.ศ.1998) เว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ICQ คือ icq.com,
thaiicq.com, icqplus.org และ 1001icqskins.com เป็นต้น
คู่แข่งที่น่าจับตาของ ICQ คือ Hotmail
messenger และ Yahoo messenger เพราะมีบริการที่ใกล้เคียงกับ ICQ และได้รับความนิยมมากขึ้น
เพราะเป็นทางเลือกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นของใหม่ ใช้ร่วมกับระบบ e-mail ได้ดี
และแปลกกว่าเดิม ซึ่งเป็นปกติของมนุษย์ ที่ชอบของใหม่ ฟรี มีประโยชน์
และน่าเชื่อถือ
5. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(e-Commerce)
วิธีการหนึ่งที่เอื้อให้การค้าขายเกิดขึ้น
เป็นการใช้ประโยชน์จากอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย
และครอบคลุมรูปแบบทางการเงินในปัจจุบันเช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์
การค้าอิเล็กทรอนิกส์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
หรือการประชุมทางไกล เป็นต้น
ความหมายที่กระชับขึ้นของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
คือกิจกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร
และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการนำเสนอข้อมูล การประมวลผล และการส่งข้อมูลดิจิตอล
ที่มีทั้งข้อมูลอักษร ภาพ และเสียง
6. การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์(E-learning หรือ Electronic
learning)
บริการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนหนังสือ
โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปนั่งในชั้นเรียน แต่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อ จะเรียนที่ไหน
(Anywhere) เมื่อใด(Anytime) ก็ได้
ผู้เรียนสามารถนั่งเรียนด้วยตนเอง แบบเป็นขั้นตอนบทต่อบท หากสงสัยก็สามารถติดต่อสอบถามจนเข้าใจ
และมีการสอบวัดผล เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ โดยสรุปแล้วการเรียนแบบ Online มักมีลักษณะสำคัญ 4 ประการ
คือ เผยแพร่ความรู้เป็นขั้นตอน(Follow by contents), มีการสอบวัดผล
ประเมินผล(Evaluation), มีระบบตอบข้อซักถาม(Reply the student
question) และมีการบริหารจัดการ(Management Education
System) สำหรับเว็บที่เกี่ยวข้องเช่น thai2learn.com,
learn.in.th, onlinetraining.in.th, nectec.or.th/courseware,
elearningmag.com และ elearningexpos.comเป็นต้น
ถ้าท่านคิดจะทำ e-learning เพื่อให้บริการ
ก็อย่าไปยึดติดกับลักษณะ 4 ข้อข้างต้น
เพราะสิ่งที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์เสมอไป ขอเพียงท่านรวบรวมข้อมูล
นำเสนอข้อมูลที่ได้จากการจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ ไม่ผิดพลาด
ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตอบข้อซักถามผู้เรียน
และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ก็ยอดเยี่ยมแล้ว
7. ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์(E-banking หรือ Electronic
banking)
ปัจจุบันการทำธุรกรรมทางการเงิน
ที่ให้บริการโดยธนาคาร เริ่มเปิดช่องทางอื่น
นอกจากการไปติดต่อด้วยตนเองที่ธนาคาร หรือการทำรายการจากตู้ ATM ในแบบเดิม
ทุกวันนี้ท่านสามารถใช้โทรศัพท์มือถือ ติดต่อเข้าไปชำระค่าสินค้า และบริการ
หลายธนาคารเปิดให้สามารถโอนเงิน ระหว่างบัญชีผ่านอินเทอร์เน็ต สำหรับผู้เขียน
สามารถตรวจสอบยอดในบัญชี ที่ให้บริการโดยธนาคารไทยพาณิชย์ ผ่านเว็บ scbeasy.com และในปีพ.ศ.2545เป็นปีแรกที่กรมสรรพากร
เปิดให้มีการยื่นแบบฟอร์มชำระภาษีเงินได้ ภ.ง.ด.91 ทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งสร้างความสะดวกให้กับประชาชนอย่างมาก
หลายท่านที่ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบจีเอสเอ็ม
แอดวานซ์ สามารถใช้บริการ mBANKING จากmobileLIFE เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารได้หลายแห่ง
เช่น เรียกดูยอดเงินในบัญชี โอนเงินระหว่างบัญชี ชำระค่าสินค้า
หรือเรียกดูอัตราแลกเปลี่ยน เป็นต้น http://www.scbeasy.com
8. โทรศัพท์อินเทอร์เน็ต
(Internet
Phone)
บริการโทรศัพท์ฟรี
จากคอมพิวเตอร์ไปเข้าโทรศัพท์บ้านในอเมริกาเคยมี แต่บริการเหล่านั้นได้หายไป
เหลือเพียงบริการที่มีราคาถูกมาก บางเว็บให้บริการโทรเข้าอเมริกาเพียงนาทีละ 2 cent เท่านั้น
แต่ถ้าใช้ ICQ จะสามารถโทรจากคอมพิวเตอร์ถึงคอมพิวเตอร์ได้ฟรี
แต่ถ้าต้องการโทรศัพท์เข้าบ้านในประเทศต่าง ๆ
สามารถตรวจสอบบริการของเว็บเหล่านี้ได้ เช่น net2pone.com, mediaring.com,
iconnecthere.com, hottelephone.comและ dialpad.com เป็นต้น
9. เกมออนไลน์
(Game
online)
เด็กชอบเล่นเกม ปัจจุบันเกมถูกพัฒนาไปมาก
ไม่จำเป็นต้องไปซื้อโปรแกรมเกมจากร้าน มาติดตั้งในเครื่องอีกต่อไป
เพราะท่านสามารถเลือกเกม เล่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ทันที
และมีเว็บที่ให้บริการอยู่มากมาย แต่ถ้าเล่นคนเดียวแล้วเบื่อ
ก็สามารถเล่นแบบเป็นกลุ่มกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตท่านอื่น ที่ติดต่อเข้ามาในระบบ
มีผู้นักเล่นเกมมากมาย ที่พร้อมจะเล่นกับท่าน
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์
มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น องค์ประกอบของระบบเครือข่าย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File
Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication
Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ
อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network
Operation System)
1. คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
หมายถึงคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร (Resources) ต่าง
ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง ฐานข้อมูล และ
โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ
มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า
Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
2. ช่องทางการสื่อสาร
ช่องทางการสื่อสาร
หมายถึง สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ
(Receiver) และผู้ส่งข้อมูล
(Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร
สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ
สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว
แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล
สายใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวป และดาวเทียม เป็นต้น
3. สถานีงาน สถานีงาน
(Workstation
or Terminal) หมายถึง
อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้
มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม
เป็นศูนย์กลาง เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น
ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host
4. อุปกรณ์ในเครือข่าย
- การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย
(Network
Interface Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ
ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย
ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย และเครื่องที่เป็นลูกข่าย
หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ
ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
- โมเด็ม ( Modem : Modulator
Demodulator) หมายถึง
อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง
เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ
โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อทำการประมวลผล โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล
โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
- ฮับ
( Hub) คือ
อุปกรณ์เชื่อมต่อที่ใช้เป็นจุดรวม และ แยกสายสัญญาณ เพื่อให้เกิดความสะดวก
ในการเชื่อมต่อของเครือข่ายแบบดาว (Star) โดยปกติใช้เป็นจุดรวมการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง File Server กับWorkstation ต่าง
ๆ
5. ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์
เพื่อให้คอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย และยังมีหน้าที่ควบคุม
การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย
นับว่าซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่
ระบบปฏิบัติการ Windows
NT , Linux , Novell Netware , Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unix เป็นต้น
ประเภทของระบบเครือข่าย
เมื่อกล่าวถึงเรื่องประเภทของระบบเครือข่าย
สิ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือเรื่องของขนาดของระบบเครือข่ายนั่นเอง
ซึ่งสามารถแบ่งระบบเครือข่ายตามขนาดได้เป็น LAN , MAN , WAN ,
Internetworks ดังนี้
ระบบเครือข่ายระยะใกล้ ( LAN: Local Area
Network ) เป็นระบบเครือข่ายที่ทำการติดตั้งและทำการเดินสายสัญญาณครอบคลุมภายในพื้นที่ที่จำกัด
เช่น ภายในอาคารสำนักงานภายในมหาวิทยาลัย ภายในโรงเรียน
หรือแต่ละอาคารที่อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน
โดยระยะทางของการเดินสายสัญญาณไม่เกิน 2 กิโลเมตร ระบบ LAN เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อไมโครคอมพิวเตอร์หลาย
ๆ เครื่องเข้าด้วยกัน แต่ไม่ควรเกิน 100 เครื่อง โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกัน
การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน และการรับส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกัน
ระบบเครือข่ายระยะปานกลาง ( MAN:
Metropolitan Area Network ) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีขนาดทางภูมิศาสตร์ที่ใหญ่ขึ้นกว่า LAN เช่น
การเชื่อมต่อระหว่างองค์กรในอำเภอหรือจังหวัด
ข้อมูลสามารถถูกส่งผ่านระหว่างเครือข่ายได้ โดยการเชื่อมต่อผ่านระบบโทรศัพท์
สายโคแอกเชียลหรือระบบสื่อสารแบบไร้สาย และสามารถใช้อุปกรณ์ส่วนกลางร่วมกันได้
เช่น การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน
หรือการรับส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันเช่นเดียวกับระบบ LAN
ระบบเครือข่ายไกล ( WAN: Wide Area
Network ) เครือข่าย WAN เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันในระยะทางที่ห่างไกล
อาจจะเป็นหลาย ๆ กิโลเมตร เช่นเครือข่ายในระดับประเทศ ทวีป
หรือเครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างมหานครต่าง ๆ
แต่เนื่องจากระยะทางที่ไกลอาจทำให้ความเร็วในการสื่อสารระหว่างกันอาจไม่สูงมากนัก
และทำให้มีสัญญาณรบกวนได้สูง
ระบบอินเตอร์เน็ตเวิร์ค ( Internetworks
) หรืออาจจะเรียกได้ว่า ระบบอินเตอร์เน็ต
( Internet ) เชื่อกันว่าระบบอินเตอร์เน็ต
คือ ระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะว่ามีผู้ใช้จากทั่วโลกเชื่อมต่อเข้าไปใช้งานอินเตอร์เน็ตทุกวัน
และก็เซิร์ฟเวอร์เกิดใหม่ทุกชั่วโมง
|
|
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
|
ระบบอินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่เป็นเครือข่ายใหญ่ และเครือข่ายย่อย จำนวนมากเชื่อมต่อกัน
เป็นจำนวนหลายร้อยล้านเครื่อง ซึ่งใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลที่เป็นรูปภาพ
ข้อความ และเสียง โดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่มีผู้ใช้งานกระจายอยู่ทั่วโลก
|
|
|
แสดงระบบเครือข่ายระยะไกล
สถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อเครือข่าย
การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีรูปแบบการเชื่อมต่อ หรือสถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อทาง ด้านกายภาพ (Phisical) อยู่ 3 แบบด้วยกัน ดังนี้คือ
แบบบัส (BUS TOPOLOGY)
เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
ทุกเครื่องบนสายสัญญาณหลักเส้นเดียว ที่เรียกว่า BUS หรือ TRUNK ที่ปลายทั้งสองด้านปิดด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Terminator ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องใด เครื่องหนึ่ง
เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เครื่องใดหยุดทำงาน
ก็ไม่มีผลกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่าย
การรับส่งสัญญาณบนสายสัญญาณต้องตรวจสอบสายสัญญาณ BUS ให้ว่างก่อน จึงจะสามารถส่งสัญญาณไปบนสายBUS ได้
แสดงการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบบัส
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ
ใช้สายสัญญาณน้อย และเชื่อมต่อได้ง่าย ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทั้งสายสัญญาณ
การติดตั้งและการบำรุงรักษา สามารถเพิ่มโหนดได้ง่าย เพราะมีโครงสร้างแบบง่าย
มีความเชื่อถือได้ เพราะใช้สายสัญญาณหลักเพียงเส้นเดียว แต่มีข้อเสียคือ
เมื่อเกิดข้อผิดพลาด จะหาจุดตรวจสอบได้ยาก
เพราะไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลาง และในกรณีที่
สายสัญญาณบัสเกิดชำรุดเสียหาย ระบบก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้
แบบดาว (STAR TOPOLOGY)
เป็นการเชื่อมต่อสถานีหรือจุดต่าง ๆ
ออกจากคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง หรือคอมพิวเตอร์แม่ข่ายที่เรียกว่า File
Server แต่ละสถานีจะมีสายสัญญาณเชื่อมต่อกับศูนย์กลาง
ไม่มีการใช้สายสัญญาณร่วมกัน เมื่อสถานีใดเกิดความเสียหาย
จะไม่มีผลกระทบกับสถานีอื่น ๆ ปัจจุบันนิยมใช้อุปกรณ์ Hub เป็นตัวเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
หรือคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง
แบบวงแหวน (RING TOPOLOGY)
เป็นการเชื่อมต่อเครือข่าย
เป็นรูปวงแหวนหรือแบบวนรอบ โดยสถานีแรก เชื่อมต่อกับสถานีสุดท้าย
การรับส่งข้อมูลในเครือข่ายจะต้องผ่านทุกสถานี โดยมีตัวนำข่าวสาร
วิ่งไปบนสายสัญญาณ ของแต่ละสถานี ต้องคอยตรวจสอบข้อมูลที่ส่งมา
ถ้าไม่ใช่ของตนเอง ต้องส่งผ่านไปยังสถานีอื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น
การเชื่อมต่อของ IBM
Token Ring ที่ต้องมีตัวนำข่าวสาร หรือ Token นำข่าวสารวิ่งวนไปรอบสายสัญญาณหรือ Ring แต่ละสถานีจะคอยตรวจสอบ Token ว่าข่าวสารที่นำมาด้วยเป็นของตนหรือไม่
ถ้าใช่ก็จะรับข่าวสารนั้นไว้ แล้วส่ง Tokenให้สถานีอื่นใช้ต่อไปได้
แสดงการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบวงแหวน
ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบนี้คือ
ใช้สายส่งสัญญาณน้อยกว่าแบบดาว เหมาะกับการเชื่อมต่อ ด้วยสายสัญญาณใยแก้วนำแสง
เพราะส่งข้อมูลทางเดียวด้วยความเร็วสูง แต่มีข้อเสียคือถ้าสถานีใดเสีย
ระบบก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ จนกว่าจะแก้ไขจุดเสียนั้น
และยากในการตรวจสอบว่ามีปัญหาที่จุดใด และถ้าต้องการเพิ่มสถานีเข้าไป
จะกระทำได้ยาก
ประโยชน์ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral
devices)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้
สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์
ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์
โมเด็ม เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง
เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer
Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์
มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น
ส่วนประกอบของระบบเครือข่าย
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File
Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication
Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation
System
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
คอมพิวเตอร์แม่ข่าย หมายถึงคอมพิวเตอร์
ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการทรัพยากร(Resources) ต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยความจำสำรอง
ฐานข้อมูล และ โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ในระบบเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) มักเรียกว่าคอมพิวเตอร์แม่ข่าย
ในระบบเครือข่ายระยะไกล ที่ใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ หรือ
มินิคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เรานิยมเรียกว่า Host Computer และเรียกเครื่องที่รอรับบริการว่าลูกข่ายหรือสถานีงาน
ช่องทางการสื่อสาร
ช่องทางการสื่อสาร หมายถึง
สื่อกลางหรือเส้นทางที่ใช้เป็นทางผ่าน ในการรับส่งข้อมูล ระหว่างผู้รับ (Receiver) และผู้ส่งข้อมูล (Transmitter) ปัจจุบันมีช่องทางการสื่อสาร สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย
คอมพิวเตอร์มีหลายประเภทคือ สายโทรศัพท์แบบสายคู่ตีเกลียวไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) สายคู่ตีเกลียว แบบมีฉนวนหุ้ม (STP) สายโคแอคเชียล สายใยแก้วนำแสง คลื่นไมโครเวป
และดาวเทียม เป็นต้น
แสดงช่องทางการสื่อสารโดยใช้จานรับดาวเทียมสถานีงาน
สถานีงาน (Workstation or Terminal) หมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
ที่เชื่อมต่อ กับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นสถานีปลายทางหรือสถานีงาน
ที่ได้รับการบริการจากเครื่อง คอมพิวเตอร์แม่ข่าย
เรียกว่าเป็นคอมพิวเตอร์ลูกข่าย (Workstation) ในระบบเครือข่ายระยะใกล้ มักมีหน่วยประมวลผล หรือซีพียูของตนเอง
ในระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม เป็นศูนย์กลาง
เรียกสถานีปลายทางว่าเทอร์มินอล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์เท่านั้น ไม่มีหน่วยประมวลกลางของตัวเอง
ต้องใช้หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางหรือ Host
อุปกรณ์ในเครือข่าย
การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface
Card :NIC) หมายถึง แผงวงจรสำหรับ
ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณของเครือข่าย
ติดตั้งไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องแม่ข่าย
และเครื่องที่เป็นลูกข่าย หน้าที่ของการ์ดนี้คือแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ส่งผ่านไปตามสายสัญญาณ
ทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้
แสดงการ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย
โมเด็ม ( Modem : Modulator
Demodulator) หมายถึง
อุปกรณ์สำหรับการแปลงสัญญาณดิจิตอล (Digital) จากคอมพิวเตอร์ด้านผู้ส่ง เพื่อส่งไปตามสายสัญญาณข้อมูลแบบอนาลอก(Analog) เมื่อถึงคอมพิวเตอร์ด้านผู้รับ
โมเด็มก็จะทำหน้าที่แปลงสัญญาณอนาลอก
ให้เป็นดิจิตอลนำเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อทำการประมวลผล
โดยปกติจะใช้โมเด็มกับระบบเครือข่ายระยะไกล โดยการใชสายโทรศัพท์เป็นสื่อกลาง เช่น
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
แสดงฮับที่ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อและจุดแยกของสาย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย หมายถึง
ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ จัดการระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์
ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่าย สามารถติดต่อสื่อสาร
แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ
ทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัย ของระบบเครือข่าย
และยังมีหน้าที่ควบคุม การนำโปรแกรมประยุกต์ ด้านการติดต่อสื่อสาร
มาทำงานในระบบเครือข่ายอีกด้วย นับว่าซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการเครือข่าย
มีความสำคัญต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างยิ่ง ตัวอย่าง
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ได้แก่ ระบบปฏิบัติการWindows NT , Linux , Novell Netware ,
Windows XP ,Windows 2000 , Solaris , Unixเป็นต้น
ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area
Network หรือ LAN)
เป็นเครือข่ายระยะใกล้
ใช้กันอยู่ในบริเวณไม่กว้างนัก อาจอยู่ในองค์กรเดียวกัน หรืออาคารที่ใกล้กัน
เช่น ภาพในสำนักงาน ภายในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
ระบบเครือข่ายท้องถิ่นจะช่วยให้ติดต่อกันได้สะดวก ช่วยลดต้นทุน
และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ
2. เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area
Network หรือ MAN)
เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ใช้ภายในเมือง
หรือจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน เช่น
ระบบเคเบิลทีวีที่มีสมาชิกตามบ้านทั่วไปที่เราดูกันอยู่ทุกวันก็จัดเป็นระบบเครือข่ายแบบ MAN
3. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area
Network หรือ WAN)
เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่
ใช้ติดตั้งบริเวณกว้าง มีสถานีหรือจุดเชื่อมต่อมากมาย มากกว่า 1 แสนจุด ใช้สื่อกลางหลายชนิด เช่น
ระบบคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ หรือดาวเทียม
การประยุกต์ใช้งานเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เครือข่ายอินเตอร์เน็ต คือระบบเครือข่ายสากล
ที่เกิดจากการรวมระบบเครือข่ายขนาดเล็กให้สื่อสาร และ
แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันได้
โดยเป็นเครือข่ายที่มีเทคโนโลยีระดับสูงซึ่งเปิดกว้างสู่สาธารณะอย่างแพร่หลาย
หรืออาจกล่าวได้ว่า
อินเตอร์เน็ตเป็นการผสมผสานกันของระบบเครือข่ายที่แตกต่างกันทั่วโลกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
สำหรับ ผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นจะสามารถเข้าถึงและใช้งานอินเตอร์เน็ตได้
โดยเชื่อมต่อผ่านทางโมเด็ม และสายโทรศัพท์
แต่ในความเป็นจริงนั้นเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในเครือข่ายนี้มีอยู่มากมายหลากหลาย
ซึ่งมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โดยจะประกอบไปด้วยเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server)เกตเวร์ (Gateway) เราเตอร์ (Router) และสายสื่อสารเป็นจำนวนมากที่เชื่อมต่อสิ่งเหล่านี้เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ผู้ให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
หรือ ISP
(Internet Service Provider) นั้นเป็นเสมือนผู้จำหน่ายที่จัดให้มีเส้นทางเข้าไปสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
โดย ISP แต่ละแห่งจะมีช่องทางการเชื่อมต่อของตนเองอยู่กับ Backbone ของอินเตอร์เน็ต
ด้วยสายการสื่อสารความเร็วสูงเช่น T1 เป็นต้น แม้ว่าเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในระยะแรกจะอยู่บน
พื้นฐานของการส่งข้อมูลที่เป็นข้อความ (Text) และรูปภาพ (Graphic) แต่ในปัจจุบัน
ปริมาณและชนิดของข้อมูลบนเครือข่ายนี้ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ซึ่งมีทั้งภาพเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ (Graphic Animation) ข้อมูลเสียง (Audio) และวีดิโอ (Video) เป็นต้น
การตั้งชื่อบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
เครือข่ายอินเตอร์เน็ตสร้างขึ้นจากแนวความคิดที่มีแบบแผน
โดยมีการออกแบบและจัดการโดเมน (Domain) อย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
และมีการเติบโตเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง Domain Name System (DNS) เป็นระบบจัดการแปลงชื่อไปเป็นหมายเลข IP address
(name-to-IP address mapping) โดยมีโครงสร้างของฐาน
ข้อมูลแบบสำดับชั้น (hierarchical) ที่ประกอบด้วย โดเมนระดับบนสุด (Top-level
Domain) โดเมนระดับรอง (Second-level
Domain) และโดเมนย่อย (Sub domain)ตัวอย่างเช่น www.gnu.org โดยที่ .org คือโดเมนระดับบนสุด ซึ่งแสดงถึงเป็นประเภทขององค์กรซึ่งไม่ได้ค้ากำไร
.gnu คือโดเมนระดับรองซึ่งเป็นชื่อย่อของโครงการ GNU's Not
Unix ซึ่งอยู่ภายใต้องค์กร Free Software
Foundation (FSF) และภายใต้ชื่อโดเมนดังกล่าวอาจมีโดเมนย่อยอื่นๆ
ได้อีกเป็นจำนวนมาก
1. ใช้ขนาดทางกายภาพของเครือข่ายเป็นเกณฑ์
แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
1.1
LAN (Local Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่น
เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างนัก อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน
เช่น ภายในมหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน คลังสินค้า หรือโรงงาน
เป็นต้น การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง และมีข้อผิดพลาดน้อย
ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
และใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ร่วมกัน
1.2
MAN (Metropolitan Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับเมือง
เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น
การเชื่อมโยงจะต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ
จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน
เช่น ธนาคาร เครือข่ายแวนเชื่อมโยงระยะไกลมาก
จึงมีความเร็วในการสื่อสารไม่สูง เนื่องจากมีสัญญาณรบกวนในสาย
เทคโนโลยีที่ใช้กับเครือข่ายแวนมีความหลากหลาย มีการเชื่อมโยงระหว่างประเทศด้วยช่องสัญญาณดาวเทียม
เส้นใยนำแสง คลื่นไมโครเวฟ คลื่นวิทยุ สายเคเบิล
1.3
WAN (Wide Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับประเทศ
หรือเครือข่ายบริเวณกว้าง
เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง
เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก
เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน
อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้
ในการเชื่อมการติดต่อนั้น
จะต้องมีการต่อเข้ากับระบบสื่อสารขององค์การโทรศัพท์หรือการสื่อสารแห่งประเทศไทย
รูปแบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet)
1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล (Individual
Connection) การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล
คือ การเชื่อมต่อ
อินเตอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับ
ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก่อน
จากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name)และรหัสผ่าน
(Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต
จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเตอร์เน็ตได้
|
การเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต
|
|
|
|
|
|
|
การเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าสู่อินเทอร์เน็ตผู้ใช้จะต้องสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายจะต้องมีบีประจำเครื่อง
(Account
Number) ที่ศูนย์บริการ
แล้วเชื่อโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่องที่ศูนย์บริการ
โดยใช้สายโทรศัพท์ผ่านทางโมเด็ม (Modem) และจะมีซอฟต์แวร์ทำหน้าที่แปลงคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เป็นเทอร์มินัลของคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์บริการเมื่อสมัครเป็นสมาชิกแล้ว
ผู้ใช้จะมี User
ID หรือ User name หรือ Login name และ Password ผู้ใช้จะต้องจัดเตรียมและเชื่อมต่ออุปกรณ์ดังนี้
1.เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่จำกัดชนิดและยี่ห้อ ส่วนใหญ่ที่นิยมใช้จะใช้เครื่อง PC
2.โมเด็ม ทำหน้าที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ได้
ความเร็วของโมเด็มเป็นความเร็วในการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์
โมเด็มมีขนาดความเร็วต่าง ๆ กัน โมเด็มมีขนาดความเร็วสูงตั้งแต่14.4 Kbps ขึ้นไป ส่วนใหญ่แล้วจะมีความสามารถรับส่ง Fax ได้ด้วย เรียกกว่า Fax Modem โมเด็มที่มีความเร็วสูงจะมีราคาแพงกว่า
ความเร็วของโมเด็ม
|
|
|